ประสบการณ์การทำสมาธิ
ความหมายของชีวิต
ตั้งแต่เป็นเด็ก ฉันมองดูพระอาทิตย์ตกทุกวัน เวลาผ่านไปเรื่ อย ๆ เราทั้งหมดกำลังจะไปที่ไหน เรามีชีวิตอยู่เพื่ออะไร ทำไมทุกสิ่งในโลกนี้จึงมีอยู่ ฉันหยุดคิดเรื่องเหล่านี้ไม่ได้เลย
ดังนั้นตั้งแต่เด็ก ฉันพยายามหาคำตอบ ฉันไปโบสถ์และวัด ฉันอ่านและศึกษาพระคัมภีร์และหนังสือต่างๆ และรู้ว่าเรื่องราวเหล่านั้นเป็นเรื่องราวที่ดีและยิ่งใหญ่ แต่ไม่มีทางที่เราจะใช้ชีวิตแบบนั้นได้จริง ๆ
บางครั้งอารมณ์ของมนุษย์ครอบงำฉัน ฉันเกลียดคนที่ฉันรัก ฉันเบื่อหน่ายที่จะอยู่ในวัฏจักรของความสุขและความทุกข์ที่เกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า และสิ่งที่น่าอึดอัดใจที่สุดคือ ทั้ง ๆ ที่ร่างกายและจิตใจเป็นของฉัน แต่ฉันกลับควบคุมมันไม่ได้
หลังจากที่โตเป็นผู้ใหญ่ ฉันพยายามหาวิธีการที่จะหลุดพ้นจากอารมณ์ของมนุษย์ ไม่ว่าจะตอนกำลังฟังเพลงหรือเดินทาง สิ่งเหล่านี้ช่วยให้ฉันมีความสุขได้แค่ระยะสั้น ๆ แต่มันไม่ใช่ทางออกที่แท้จริง
หลังจากนั้น ฉันบังเอิญได้พบกับอาจารย์สอนศิลปะท่านหนึ่งที่ออสเตรเลีย เธอแนะนำให้ฉันเข้าร่วมแคมป์การนั่งสมาธิของมหาวิทยาลัย
การนั่งสมาธิของฉันเริ่มต้นด้วย การขจัดความสกปรกที่ครอบงำจิตใจของฉันไว้ ฉันได้พบกับตัวตนที่แท้จริงของฉัน แน่นอนว่ามันต้องใช้ความอดทน เวลา และความพยายาม แต่อย่างไรก็ตาม วิธีการสอนทำสมาธินี้มีความเฉพาะเจาะจงและชัดเจน และยิ่งฉันขจัดอารมณ์ของมนุษย์ได้มากเท่าไหร่ ฉันก็ยิ่งอยากเรียนให้สำเร็จ ฉันก็เลยทุ่มเทเวลาให้กับการเรียนทำสมาธิ
อย่างน่าอัศจรรย์ ฉันรู้สึกเหมือนได้เกิดใหม่เป็นครั้งแรก มันเหมือนกับว่าฉันได้โผล่พ้นน้ำและหายใจได้อย่างปกติเป็นครั้งแรกอีกเช่นกัน ความรู้สึกขอบคุณนี้ไม่ได้เกิดขึ้นด้วยเหตุผลหรือเงื่อนไขใด ๆ แต่เป็นความรู้สึกขอบคุณที่เกิดขึ้นเอง
โดยธรรมชาติที่มีต่อโลกและทุกสิ่งรอบตัวฉัน
ฉันคิดว่าทุกคนควรฝึกนั่งสมาธิ ภาษา เชื้อชาติ ศาสนา วัฒณธรรม เพศ และอายุ ไม่ใช่เรื่องสำคัญ ทุกคนทำได้ และฉันหวังว่าจะได้แบ่งปันความสุขนี้กับทุก ๆ คน
ชีวิตเปลี่ยน สุขภาพดีขึ้น
ในชีวิตประจำวันและการทำงานของผม ผมค่อนข้างดื้อรั้นและกล้าแสดงออก
ผู้คนรอบตัวมีช่วงเวลาที่ยากลำบากเพราะผม และมันก็ยากสำหรับผมด้วยเช่นกัน แต่ต่อให้ผมพยายามเปลี่ยนแปลงมากแค่ไหน มันก็ไม่เปลี่ยนแปลง
อยู่มาวันหนึ่ง ผมบังเอิญได้อ่านใบปลิวเกี่ยวกับการทำสมาธินี้และก็เริ่มนั่งสมาธิ
ไม่นานหลังจากที่ผมเริ่มนั่งสมาธิ เพื่อนร่วมงานก็บอกว่าผมยิ้ม
ริ้วรอยของผมหายไป และผมก็รับฟังคนอื่นได้ดี อาการนอนไม่หลับที่เคยเป็นก็หายไป ผมนอนหลับสนิท อาการคันที่ผมมีมานานก็หายไปและผิวของผมเริ่มดีขึ้น คนรอบข้างบอกว่า พวกเขาสงสัยว่าผมกำลังเดทกับใครอยู่หรือเปล่า
การทำสมาธิสนุกมากขึ้นเพราะงานของผมดีขึ้น ผมนอนหลับสบาย ผมสุขภาพดีขึ้น และชีวิตประจำวันของผมก็มีความสุขมากขึ้น เหนือสิ่งอื่นใด ความคิดที่ไร้ประโยชน์มากมายหายไป ดังนั้นเมื่อผมทำงาน ผมก็กำลังทำงาน และเมื่อผมกินข้าว ผมก็กินข้าวเท่านั้น ไม่มีความกังวลที่คลุมเครือเกี่ยวกับอนาคต ต้องขอบคุณการทำสมาธินี้ ผมได้เรียนรู้ว่าผมมีความคิดที่ไร้ประโยชน์มากมาย ตอนนี้ ผมเป็นประธานบริษัท และผมก็มีความสัมพันธ์ที่ดีกับพนักงาน การทำสมาธินี้ไม่ใช่ศาสนา การทำสมาธินี้คือวิธีกำจัดจิตใจที่เป็นเท็จและค้นหาจิตใจที่แท้จริง มันคือความมั่นใจ ความสุข ความรัก ความสงบสุข และอิสรภาพอันยิ่งใหญ่ที่ไม่เปลี่ยนแปลง เนื่องจากวิธีการง่าย ทุกคนจึงสามารถทำได้ง่ายๆ โดยไม่ต้องคำนึงถึงสถานที่หรืออายุ และสิ่งนี้สามารถเปลี่ยนผู้คนในเชิงบวกโดยที่ใช้เวลาไม่นาน
เกินความรู้ของฉัน
ตอนที่ผมเริ่มฝึกสมาธินี้ ผมไม่ได้มีเจตนาจะทำจนสำเร็จ ที่ผมสนใจทำต่อไปเรื่อย ๆ เพียงเพราะผมรู้สึกดีขึ้นหลังจากทำสมาธิในแต่ละครั้ง ตอนแรก ผมมาฝึกเพราะรู้สึกว่ามีบางอย่างขาดหายไปในชีวิต ผมมีชีวิตที่ค่อนข้างดีตามมาตรฐานของคนส่วนใหญ่ ตัวอย่างเช่น อพาร์ตเมนท์ขนาดใหญ่ งานที่ยอดเยี่ยม และความสัมพันธ์ที่ดี แต่ผมไม่มีสิ่งที่ทำให้ตัวเองมีความสุขในทุกช่วงเวลา ผมถูกครอบงำด้วยงาน ความโลภหรือความริษยาเสมอ โดยที่ไม่รู้ตัว ต้องขอบคุณการทำสมาธินี้ ผมได้ตระหนักว่า ที่ผ่านมา ผมมีชีวิตอยู่ที่อื่น ไม่ใช่โลกที่ตัวผมอาศัยอยู่ ผมอาศัยอยู่ในใจของตัวเอง หลังจากนั่งสมาธิมาหลายปี ผมก็สามารถที่จะเข้าใจโลกทั้งใบและมีชีวิตที่กลมเกลียวกับผู้อื่นมากขึ้น การทำสมาธินี้สามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตได้ มีวิธีการง่ายๆที่สามารถทำตามทีละขั้นตอนและตั้งอยู่บนพื้นฐานของหลักความจริง – ลองทำวันนี้เลยและจงทำไปเรื่อย ๆ จนสำเร็จนะครับ!
ทุกอย่างเปลี่ยนไปในทางบวก
วิธีการทำสมาธิของที่นี่สามารถปฏิบัติตามได้อย่างง่ายๆ และช่วยสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ดีงาม จิตใจแจ่มใส มองโลกในแง่บวก รู้สึกสงบและปล่อยวางได้ดี นอกจากสุขภาพใจ สุขภาพกายยังดีขึ้นเรื่อยๆอีกด้วย ที่สำคัญ ได้มองเห็นและรู้จักเข้าใจตัวเองมากขึ้น ขอขอบคุณวิธีการและ
แบงค็อกเมดิเตชั่นเป็นอย่างสูงค่ะ
การทำสมาธินี้คืออะไร? “เรียบง่ายแต่ทรงพลัง”
ก่อนจะมาเริ่มนั่งสมาธิ ชีวิตของฉันก็ดูดีจากภายนอก บางที คนรอบข้างอาจจะมองว่าฉันมีความสุขและมั่นใจ กับทั้งเรื่องครอบครัว การเรียนและการงาน แต่ภายในใจ ฉันมีความกังวลอย่างมากและรู้สึกกดดันอยู่เสมอ ฉันต้องการทำให้ทุกคนพอใจและหมกมุ่นกับการรักษาภาพลักษณ์ให้ดูเป็นคนดีต่อหน้าผู้อื่น ฉันมักจะแอบอยู่หลังรอยยิ้มอันจอมปลอมและเครื่องสำอางหนาๆ ปกปิดตัวเองให้ดูดีสมบูรณ์แบบ การทำสมาธิทำให้ฉันตระหนักว่า ทั้งหมดนี้ เป็นเพราะฉันกังวลอย่างหนักว่าโลกจะมองฉันอย่างไร ฉันกังวลมากจนไม่ยอมสวมถุงเท้าสีขาวหรือสีสดใสเพราะคนอื่นจะเห็นได้ว่าเท้าของฉันสกปรกแค่ไหน ฉันรู้สึก ราวกับว่าโลกกำลังตัดสินฉันอยู่ในทุกย่างก้าวไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กน้อยเพียงใดก็ตาม ความรู้สึกไม่มั่นคงมันท่วมท้นอยู่ในใจตลอดเวลาจนฉันถูกหลอกหลอนด้วยอาการนอนไม่หลับ
อย่างไรก็ตาม เมื่อมองย้อนดูชีวิต การทำสมาธิได้ช่วยให้ฉันเห็นว่า ที่ผ่านมา ฉันมีชีวิตอยู่แต่ในฟองสบู่ ฉันติดอยู่ในที่ที่ฉันใส่ใจเพียงมุมมองอันยึดตน เป็นศูนย์กลาง และเปรียบเทียบตัวเอง และต้องการเป็นคนที่ดีขึ้นตามมาตรฐานที่ตนนั้นตั้งขึ้น พอหันกลับไปมองตัวเองแล้วน่าขำชะมัด! ปล่อยให้ตัวเอง อยู่ด้วยความกังวลอันท่วมท้น
ฉันมาเริ่มทำสมาธิตั้งแต่ระดับ 2 ที่เกาหลี ฉันก็เลยยังไม่ได้เจอกับคนที่รู้จักฉันคนเก่า อย่างไรก็ตาม แม้แต่คนที่นี่ก็บอกว่า ฉันดูสดใสขึ้นกว่าตอนที่พวกเขา
เริ่มรู้จักฉัน ฉันก็เห็นการเปลี่ยนแปลงของตัวเองเช่นกัน อาการนอนไม่หลับของฉันหายไป และฉันเต้นไปรอบ ๆกับถุงเท้าสีอะไรก็ได้ โดยไม่ต้องแต่งหน้า
เมื่อฉันไม่พึ่งพาความคิดเห็นของคนอื่นอีกต่อไป ฉันก็รู้สึกเป็นอิสระและเข้มแข็งขึ้นอย่างมาก
ของขวัญยิ่งใหญ่ที่สุดที่ฉันได้รับจากการทำสมาธินี้คือ ฉันได้ มองเห็นว่าโลกไม่ได้หมุนรอบตัวฉัน และที่ผ่านมา ฉันมีชีวิตอยู่เพื่อตัวเองเท่านั้น สำหรับฉัน ส่วนที่ดีที่สุดของการทำสมาธินี้คือ การได้เห็นความเป็นจริง โลกที่แท้จริง ที่อยู่นอกฟองสบู่ของฉัน
คุณเริ่มมองเห็นตัวเองว่าเป็นอย่างไรจากทุกแง่มุมของชีวิต
สิ่งที่ยอดเยี่ยมของวิธีการทำสมาธินี้คือ มันสามารถแสดงให้คุณเห็นว่าคุณเป็นใครจากมุมมองที่ยิ่งใหญ่กว่าตัวคุณเองมาก เป็นเรื่องยากที่จะมองเห็นตัวเอง และการทำสมาธินี้มีวิธีทำให้คุณมองเห็นตัวเองจากมุมมองที่ใหญ่กว่าตัวคุณ จากนั้น คุณจะได้ย้อนดูตัวเองว่า แท้จริงแล้วคุณนั้นเป็นอย่างไร และคุณจะมองเห็นสิ่งต่างๆในตัวเอง และผมก็ได้เห็นสิ่งต่างๆในตัวเองที่ไม่เคยรู้มาก่อน จนกระทั่งได้มาฝึกสมาธินี้ ผมคิดว่า นี่เป็นหนึ่งในจุดแข็งที่สำคัญที่สุดของการทำสมาธินี้ จากประสบการณ์ ผมคิดว่ามันยากมากที่จะสร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในตัวเอง แต่การทำสมาธินี้ช่วยให้ผมกำจัดนิสัยและความคิดเชิงลบอันไร้ประโยชน์ของตนเองได้
ตอนนี้ ผมมีความสุขขึ้นอย่างแน่นอน และก็รู้สึกผ่อนคลายมากขึ้นด้วย ผมรู้สึกดีขึ้นภายในใจ และนี่ก็คือวิธีที่ดีที่สุดในการนิยามคำว่าความสุขสำหรับผม นอกจากนี้ ผมยังสมาธิดีขึ้น ผมหมายถึงว่า ผมทำงานอยู่กับคอมพิวเตอร์ และสิ่งสำคัญคือ ต้องมีความอดทน และต้องมีสมาธิได้ตลอดทั้งวัน ผมทำงานใช้สมองทั้งวัน ดังนั้น จึงสำคัญมากที่จะต้องสามารถรู้สึกผ่อนคลายได้ ไม่ต้องพยายามเคลื่อนไหวอยู่ตลอด ไม่ต้องคิดถึงเรื่องอื่นตลอดเวลา แค่อยู่นิ่งๆ และการทำสมาธิก็ช่วยผมได้อย่างแน่นอนในเรื่องนี้
การทำสมาธิยังช่วยทำให้ผมเป็นสามีและพ่อที่ดีขึ้น ปัญหาหนึ่งที่ผมเห็นว่าเกิดขึ้นในหลายๆความสัมพันธ์คือ คุณมีความคาดหวังที่จะให้อีกฝ่ายมอบบางสิ่งให้กับคุณอยู่ตลอดเวลา คุณต้องการที่จะได้อะไรจากคนๆนั้น และผมคิดว่า การทำสมาธินี้ได้เปลี่ยนมุมมองในเรื่องนี้สำหรับผมและภรรยา ตอนนี้ สิ่งสำคัญคือการทำหน้าที่ของตัวเองโดยไม่ต้องคาดหวังซึ่งกันและกัน นอกจากนี้ การทำสมาธิยังทำให้ผมมองลูกๆแตกต่างไปจากเดิม ผมมองเห็นพวกเขาอย่างที่พวกเขาเป็น มากกว่าที่จะมองในฐานะผู้ปกครองและในฐานะพ่ออย่างแต่ก่อน มีอคติบางอย่างที่มาพร้อมกับความผูกพันยึดติดที่ผมมีต่อลูกๆ เมื่อกำจัดสิ่งนี้ออกไป ผมคิดว่าคุณจะเริ่มมองเห็นครอบครัวของคุณตามความเป็นจริงมากขึ้น สิ่งนี้ดีต่อลูกๆด้วย เพราะว่าพวกเขาก็รู้สึกได้ และพวกเขาก็รู้สึกผ่อนคลายมากขึ้นเวลาอยู่กับผม
ความแตกต่างในชีวิตผม … สามารถบรรยายได้ในคำเดียว: ความรู้สึกขอบคุณ
ผมไม่ได้มีเรื่องราวชีวิตอันน่าทึ่งที่จะเล่า มองดูจากภายนอก ชีวิตผมค่อนข้างธรรมดา ผมโตมาในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย ในย่านชานเมืองของกรุงสต็อกโฮล์ม ผมมีเพื่อน มีวิดีโอเกม Nintendo และทุกสิ่งที่เด็กคนหนึ่งพึงต้องการ ครอบครัวของผมไม่ได้เคร่งศาสนาและค่อนข้างใจกว้าง ดังนั้น ผมจึงมีอิสระที่จะตัดสินใจในชีวิต ผมจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัย และได้งานทำที่บริษัทไอที และคิดว่าตัวเองจะมีความสุข แต่ภายในใจ ผมไม่เคยมีความสุขอย่างแท้จริงเลย ทุกครั้งที่ผมบรรลุสิ่งที่ต้องการ ผมก็จะต้องการอย่างอื่นและอะไรบางอย่างต่อไปอีก ผมติดอยู่ในห้วงความคิดของตัวเองตลอดเวลากับจิตที่ไม่เคยหยุดนิ่ง ผมมักจะรู้สึกสงสัย ครุ่นคิด ถามตัวเองว่าทำไมผมถึงมีความคิดมากมายอยู่ในหัว ผมพยายามหาคำตอบจากหลายหนทาง แต่ทุกหนทางที่ผมลอง ก็ทำให้ผมรู้สึกเป็นอิสระได้แค่ชั่วคราว
อย่างไรก็ตาม ด้วยระยะเวลาเพียงไม่นาน ผมก็ได้เข้าใจจากการทำสมาธินี้ว่า การครุ่นคิดนี้มันเกี่ยวกับตัวผม และเหตุผลที่ผมคิดมากและทำไมผมจึงเครียดมากก็เพราะว่าผมห่วงแต่ตัวเอง สำหรับผม ผมเคยแบกสิ่งที่ไม่จำเป็นเอาไว้ ผมรู้ว่าการครุ่นคิดเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นและไม่ดีสำหรับผม แต่ผมก็ไม่ได้อยากที่จะละทิ้งและก็ไม่รู้วิธีที่จะละทิ้งมันด้วย อย่างไรก็ตาม จากการทำสมาธินี้ ผมได้เรียนรู้วิธีการละทิ้งความกังวลและความคิดทั้งหลาย และสำหรับผม นี่คือการทำให้เป็นอิสระอย่างแท้จริง
ตอนนี้ มีความแตกต่างอย่างมากระหว่างผมคนเดิมกับผมคนปัจจุบัน เมื่อก่อน ผมต้องการหลายสิ่งหลายอย่างในชีวิตเพื่อที่จะมีความสุข ผมต้องมีงานอดิเรก และผมต้องมีคนบางคนอยู่รอบกาย ผมคิดว่าผมเคยต้องการอะไรมากมาย ตอนนี้ ผมไม่มีความกังวลเกี่ยวกับอนาคต ดังนั้น ด้วยจิตเช่นนี้ ผมจึงสามารถใช้ชีวิตได้อย่างแท้จริง และจักรวาลก็จะดูแลสิ่งต่างๆให้ผมเอง ตอนนี้ ผมยังได้เรียนรู้ว่า เมื่อผมห่วงใยคนอื่นมากกว่าตัวเองด้วยใจจริง ความเครียดของผมจะจางหายไป และตอนนี้ ผมก็รู้วิธีที่จะช่วยเหลือโลกใบนี้อย่างแท้จริง ความแตกต่างระหว่างชีวิตของผมก่อนและหลังการฝึกสมาธินี้ สามารถบรรยายได้ในคำเดียวว่า ความรู้สึกขอบคุณ
ผมรู้สึกขอบคุณการทำสมาธินี้อย่างมาก ที่ช่วยให้สามารถปล่อยวาง และช่วย
ให้สามารถรู้แน่ด้วยใจว่า ผมเป็นหนึ่งเดียวกับทุกสิ่งที่อยู่รอบตัวอย่างแท้จริง
จงเป็นการเปลี่ยนแปลงที่คุณต้องการเห็นในโลกใบนี้
ฉันคิดว่าตอนที่ฉันเกิด ฉันเลือกหัวใจ100% และสมองศูนย์ ฉันรักผู้คนและรักที่จะช่วยเหลือพวกเขา นี่เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตฉันมาเป็นเวลานาน แม้กระทั่งความสำเร็จในอาชีพการงานก็มาจากสิ่งนี้ อย่างไรก็ตาม มีช่วงหนึ่งในชีวิตที่ฉันพยายามค้นหาวิธีช่วยเหลือคนอื่น แต่กลับทำให้ตัวเองแทบเป็นบ้า เพราะฉันหาทางช่วยเขาไม่ได้ ครั้งหนึ่ง สมาชิกครอบครัวของฉันคนหนึ่งป่วยเป็นโรคซึมเศร้า ไม่มีอะไรที่ฉันสามารถช่วยได้ และการที่รู้ว่าฉันไม่สามารถช่วยเขาได้ ทำให้ฉันซึมเศร้าหนักกว่าเสียอีก อย่างไรก็ตาม เมื่อฉันเริ่มทำสมาธินี้ ฉันได้สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงในตัวเอง ฉันได้ตระหนักว่า ฉันเท่านั้นที่เปลี่ยนแปลงตัวเองได้ และฉันเท่านั้นที่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ ความต้องการของฉันที่จะช่วยเหลือและแก้ไขคนอื่นไม่ใช่สิ่งสำคัญอีกต่อไป สิ่งสำคัญคือ การทำตัวให้เป็นแบบอย่างกับผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือ ฉันได้พบวิธีการแสดงความเห็นอกเห็นใจและความรักที่แท้จริงต่อผู้อื่นโดยการช่วยเหลือตัวฉันเอง ทุกสิ่งที่ฉันกำลังทำและอยากจะอธิบายแบบสั้นๆก็คือ ‘จงดำเนินชีวิตให้เป็นแบบอย่างและเป็นการเปลี่ยนแปลงที่คุณอยากเห็นในโลกใบนี้’
ตอนที่ฉันเริ่มทำสมาธิในสหรัฐอเมริกา อาชีพการงานของฉันเติบโตเร็วขึ้นมาก ผู้คนตั้งฉายาให้ฉันว่า”ซูเปอร์สตาร์” และฉันก็ได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งใน สุดยอดบุคคลทั้ง 5 ในแวดวงการทำงานของฉัน พร้อมด้วยการเลื่อนตำแหน่งเป็นรองประธานบริหาร แม้ว่าการงานจะประสบความสำเร็จ แต่ฉันก็ตระหนักว่า มันทำให้ฉันยุ่งมาก ฉันรู้ว่าตัวเองมีโอกาสที่จะได้พัฒนาจากการทำสมาธินี้มากมาย และฉันก็รู้ว่า ก่อนจะได้รับบางสิ่ง ฉันต้องสละอะไรบางอย่าง ดังนั้น ด้วยการตัดสินใจที่กล้าหาญ ฉันเลือกที่จะไปเกาหลีเพื่อลงทุนในการพัฒนาตนเอง และมันก็ไม่ใช่แค่ขุมทองคำ แต่เป็นขุมเพชร ฉันมองว่าคนส่วนใหญ่ที่ต้องการลองทำสมาธินั้นต่างยุ่งกับการดำเนินชีวิตของตนเอง แต่ฉันหวังอยากให้พวกเขาได้ใช้เวลาเพื่อลงทุนในการพัฒนาตนเอง เพื่อค้นหาว่าสิ่งที่พวกเขาต้องการอย่างแท้จริงในชีวิตคืออะไร สำหรับฉัน ตอนนี้ ฉันรักตัวตนที่อยู่ภายในของฉันอย่างมาก ภาษาและอาหารที่เกาหลีนั้นช่างแตกต่างจากที่คุ้นเคย แต่มัน
ไม่ใช่ปัญหา เมื่อเทียบกับความซาบซึ้งขอบคุณที่ฉันมีต่อการทำสมาธินี้ เพราะมันได้เปลี่ยนชีวิตของฉันทั้งชีวิต อย่างไรก็ตาม จากการทำสมาธิในช่วง 4 เดือนที่ผ่านมาในเกาหลี ฉันสามารถเอาชนะประสบการณ์ที่เจ็บปวดในอดีต เอาชนะความหวาดกลัวต่างๆ และเป็นอิสระจากสภาวะสุขภาพที่ติดตามฉันมาตลอดชีวิต หลายคนบอกว่าฉันเปลี่ยนไปมาก และบอกว่าฉันดูสดใสและดูอ่อนวัยกว่าเดิม
ณ ตอนนี้ หัวใจของฉันเต็มไปด้วยความสุข ความรัก และความรู้สึกขอบคุณ ดังนั้น ด้วยความรู้สึกขอบคุณที่ฉันมีในหัวใจ ตอนนี้ ฉันอยากจะแบ่งปันสิ่งนี้กับผู้อื่น ด้วยการใช้ชีวิตให้เป็นแบบอย่างกับทุกคน